วันจันทร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2553

เปิดหัวใจ ลูกผู้ชายตัวจริง เต๋า-สมชาย


เปิดหัวใจ ลูกผู้ชายตัวจริง "เต๋า-สมชาย" ตั้งแต่หัวจรดเท้า (ทีวีอินไซด์)

ถึงแม้จะอยู่ในวงการมานาน แต่กระแสความแรงของลูกผู้ชายตัวจริงที่ชื่อ "เต๋า-สมชาย เข็มกลัด" ก็ยังคงไม่มีหลุดจากวงโคจร ยังคงตกเป็นข่าวหน้าหนึ่งได้อยู่ทุกคืนวัน และยังดูเหมือนว่าภาพลักษณ์แบดบอยที่ติดตัวมาจะยังสลัดไม่หลุดซักที มาวันนี้ "เต๋า" ได้ชื่อเป็นคุณพ่อมือใหม่ หลาย ๆ คน เฝ้ารอวันที่จะเห็น "เต๋า" เปลี่ยนภาพลักษณ์นิวลุคส์ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ความรัก และ ความผูกพันระหว่างครอบครัว สายใยพ่อ-ลูก จะทำให้หนุ่มคนนี้เป็นคนใหม่ได้หรือไม่

หายหน้าไปนาน กลับมาอีกที เล่นหนังเรื่อง "นาคปรก" ?

"คือช่วงนั้นเป็นช่วงที่ผมออกจากผู้คนมากมาย ไปใช้ชีวิตคนเดียว อยู่ในภาวะโลกส่วนตัวมากในตอนนั้น พอดีมีมีพี่ปุ๊กกี้ (โปรดิวเซอร์ สุกัญญา วงศ์สถาปัตย์) นะครับ โทรตามหาจนเจอ ผมอยู่ที่พัทยา ผมก็บอกว่ามีธุระอะไร พี่ปุ๊กก็บอกมีหนังอยากให้เล่น ตอนนั้นก็ตัดสินใจเข้าไปคุยเลย คืนนั้นจากพัทยามาถึงกรุงเทพฯก็เกือบ 2 ทุ่ม มาทั้งเสื้อยืดกางเกงยีนส์ ยังจำชุดได้เลย เดินเข้าไปถึงพี่ปุ๊กก็วางบท แล้วบอกมันมีหนังอยู่เรื่อง อยากให้เล่น เขาก็พูดมาด้วยสโลแกนที่ว่า ถ้าสม (เรียกย่อจากสมชาย) ไม่เล่น พี่ปุ๊กก็เชื่อว่าในประเทศไทยไม่มีใครกล้าเล่น ผมก็แบบ จริงเหรอ เป็นหนังอะไร เขาก็บอกว่า เป็นหนัง negative มาก ๆ มันเป็นเรื่องของโจร"
"เราก็บอกเหรอ แล้วเรื่องราวมันเป็นยังไง ผมเลยถามว่าชื่อเรื่องอะไร เขาบอกว่า นาคปรก ผมก็บอกโอเค งั้นเดี๋ยวผมขอเรื่องนี้กลับบ้านก่อนนะ ผมก็หยิบเรื่องนาคปรกไป ในความรู้สึกแรกของผม คือ ทำไมเราถึงต้องหยิบ เราก็ถามตัวเองนะ กลับไปถึงบ้าน ผมก็นอนแล้วก็วางไว้หัวนอน แล้วพี่ปุ๊กก็โทรมาคุยว่า เรื่องนี้สำคัญ คือ ต้องโกนหัว แต่ถ้าสมไม่โกนหัวจะให้พี่ปุ๊กเอาเอฟเฟ็กซ์หรือจะคอยฮอลลีวู้ดมาทำให้หัวโล้นเลย ผมก็บอกไม่เป็นไรพี่ปุ๊ก โอเคในเมื่อพี่ปุ๊กคิดว่า ในประเทศไทย ถ้าไม่มีใครกล้าเล่นนอกจากผม งั้นผมเล่นละกัน ก็ยังไม่ได้อ่านบท คือ ตอนนั้นผมถูกสั่งให้เล่น เพราะมาจากชื่อเรื่อง โดยส่วนตัวผมเกิดวันเสาร์ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน เป็นเรื่องที่ผมไม่ได้อ่านบทแล้วผมรับเล่น เหมือนถูกดูดเข้าไปเล่น คือ มันมีเซนต์ที่บอกเราว่า ไม่เล่น ไม่ได้ พออ่านแล้วก็แบบว่า เฮ้ย สุดยอด"
พูดถึงเรื่องราวใน "นาคปรก" ?

"มันเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับแก็งค์โจร 3 คน ไปปล้นรถขนเงิน แล้วเอาเงินที่ได้เนี่ยไปซ่อน แต่คนที่เอาไปซ่อน คือน้องชายผม คือ ปอ (เต้-ปิติศักดิ์ เยาวนานนท์) จริง ๆ แล้วเนี่ย เขาไม่ได้เป็นโจรหรอก เขาเป็นคนที่มีจิตใจดีทุกอย่าง แต่ก็ตามพี่ แล้วผมก็พยายามจะสอนน้องทุกอย่าง แต่ตัวเองทำไมได้ แล้วถึงเวลาก็ให้เขาเอาเงินไปซ่อน ปล้นมาแล้วเราก็เอารถไปทิ้ง พอถึงเวลาเขาเอาเงินไปซ่อน เขาก็โยนไว้ในหลุมๆ หนึ่งเขาก็ไม่รู้ว่ามันเป็นหลุมอะไร เสร็จปั๊บเราก็หนีไป เพราะตำรวจตามจับ พอกลับมาอีกทีเขาบอกเขาจำได้ว่าเขาโยนไว้ตรงนี้ แต่กลายเป็นโบสถ์อ่ะ แล้วจะทำยังไงล่ะ ก็โจรน่ะ กิเลสหนา ทำทุกอย่างเพื่อจะให้ได้มา ก็ต้องเป็นพระ เป็นพระในที่นี้ต้องบอกว่า เราไม่ใช่พระ เราเป็นโจรที่ใช้ผ้าเหลืองบังหน้า เพราะหนึ่งเราไม่มีพิธีกรรมทางศาสนา ถ้าจะตอบนี้คือ ปล้นผ้าเหลือง โกนหัวเถื่อน มารศาสนา ก็พระปลอม เราไม่มีพิธีกรรมอะไรเลย เราแค่เอาปืนไปจี้แล้วก็บอกว่า ช่วยบวชให้ผมที มันก็เหมือนมาช่วยโกนหัวแล้วใส่ผ้าเหลืองให้ผมหน่อย มันไม่ใช่พิธีกรรมทางศาสนาเลย คือคำสามคำที่ผมพูดนี่ชัดเจนมาก ปล้นผ้าเหลือง โกนหัวเถื่อน มารศาสนา"

คาแร็คเตอร์ของ "ป่าน" ในหนังเรื่องนี้เป็นอย่างไร ?

"คาแร็คเตอร์ของป่าน ลักษณะก็จะเป็นลูกผู้ชายคนหนึ่ง ที่ออกจากบ้านไปตั้งแต่อายุ 10 กว่าๆ พูดง่ายๆ ก็เด็กจรจัด แล้วโตมาในท่ามกลางสิ่งแวดล้อมที่เป็นในลักษณะของหมู่โจร หรืออันธพาลหรืออะไรก็ได้ในโลกนี้ที่มันเป็น negative แต่ด้วยคาแรกเตอร์ของป่าน มีสิ่งที่ดีอยู่อย่างหนึ่ง คือ ความกตัญญู รักแม่ รักน้อง รักครอบครัวแค่นั้นเอง"

บทนี้คือบทที่ดีที่สุดในอาชีพนักแสดง ?

"คุ้มครับ ผมว่า คุ้มมาก ครั้งหนึ่งในชีวิตมันควรจะต้องมี เรารู้สึกว่า ได้รับบทที่รู้สึกว่า มันท้าทาย และมันตื่นเต้นกับชีวิต ชีวิตคือการเสี่ยงจริงๆ ตอนผมเล่น ผมก็เชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่า มันจะต้องได้ฉาย แต่ในใจก็รู้เลยว่า ไม่รู้เมื่อไหร่ คือ อ่านบทแล้วยังไงจะต้องได้ฉาย ในความรู้สึกผม ผมมั่นใจมาก ผมบอกกับทุกคนว่า ต้องได้ฉาย ยิ่งตัดมาต้องได้ฉายแบบที่ไม่ต้องตัดเลยซักเฟรมด้วย"

เขาเรียกอินกับบท ?

"จำได้ว่า ตอนที่ถ่ายทำ ตอนที่พี่ใหม่สั่งคัทแล้ว แต่ผมรู้สึกว่า ผมยังเล่นอยู่ เราไม่รู้ตัวเลยว่า เฮ้ย เสร็จแล้วเหรอ คัทแล้วหรอ มันหลุดเข้าไปในภวังค์แบบสมบูรณ์แบบมาก ประทับใจว่า อันนี้แหละเป็นสิ่งที่เราตามหามานานกับบทที่จะทำให้เราอินขนาดนี้ เราลืมไปเลยว่า เราเป็นใคร เราหลุดเข้าไปในตัวแสดงตัวนั้น มันมีมุมอย่างนี้ นาน ๆ ทีกว่าจะเจอบทแบบนี้ได้"

พูดถึงการร่วมงานกับ "เต้-ปิติศักดิ์" และ " เรย์ แมคโดนัลด์" ?

"ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้ดึงเอาสุดยอดของการแสดงของแต่ละคนออกมาเลยนะ อย่างเต้ เราก็รู้ว่าเขาอาจจะเกร็งบ้าง ก็พยายามทำทุกอย่างให้มันเป็นปกติที่สุด ทำให้มันเป็นก้อนเดียวกันให้ได้ ทำให้มันกลมให้ได้ อย่าง เร คนนี้เนี่ย ถ้าให้ผมพูด สิ่งที่เค้าแสดงออกมาก็..เหนืออ่ะ สุดจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นตัวผมเอง เป็น เร เป็น เต้ เป็น อาสะอาด แล้วก็คุณแม่รัชนู และก็รวมถึง น้องทราย ทุกอย่างมันกลมหมดเลย มันเหมือนถูกสร้างมาเพื่ออยู่รวมกัน ผมพูดได้แค่นี้ ที่เหลือต้องดูกัน"

ฉากที่ต้องสวมวิญญาณพระขึ้นไปเทศน์ ฉากนี้ซึ้งสุด ๆ ?

"คือฉากที่เทศน์ เป็นวันมาฆบูชา ทุกคนต้องมาทำบุญ ทำบุญเสร็จแล้วมาฟังเทศน์ เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ใครล่ะจะไปเทศน์ ในเรื่อง สิงห์ (เรย์ แมคโดนัลด์) ก็บอกมึงล่ะ..ไอ้ป่านไป ก็ไปเทศน์ ก็ไม่รู้จะพูดอะไร นอกจากสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิต กับสิ่งที่เห็นในวัด โจรนะ ให้โจรขึ้นไปเทศน์ ฟิวส์ความรู้สึกมันก็คือโจร จะพูดอะไรยังไงมันก็คือโจร แต่มันก็เทศน์ด้วยความรู้สึกจากข้างใน พูดออกมามันคือชีวิตจริง มันมีชีวิต แล้วผมก็พยายามทำซีนนั้นให้มันมีชีวิตในแบบฉบับของป่านให้ได้ คือ ตัวป่านเป็นคนรักครอบครัวมาก รักแม่ รักน้อง เขาก็พูดเรื่องความรัก เกี่ยวกับครอบครัว ตอนผมอ่านบททีแรกเนี่ย ผมอ่านซีนนี้แล้วผมน้ำตาไหลเลยนะ คลาสสิคมาก"

อยากจะพูดอะไรกับคนที่กำลังตัดสินใจดูหรือไม่ดู ?

"คือจริงๆ ผมเชื่อว่า โลกนี้มันมีทุกสิ่งทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นได้อยู่แล้ว มันเป็นสิทธิส่วนบุคคลอยู่แล้ว พิพากษาหนัง คือ ผมเชื่อว่า คุณต้องลองดู ผมบอกแล้วลองดูชอบไม่ชอบว่ากันอีกที ไม่อยากดูถามเพื่อนก็ได้ แต่อย่าซื้อแผ่นผี ผมว่ามันแบบ..ใจอ่ะ มันเป็นเรื่องของใจมากกว่า อันนี้ไม่ผิดนะครับ ดูหรือไม่ดู ผมว่าไม่ผิดเลย มันอยู่ที่คุณ ผมเชื่อว่าสิ่งที่เราทำให้เห็น มันเป็นสิ่งที่มันเกิดขึ้นจริงแน่นอน แต่คุณจะยอมรับมันได้หรือเปล่า เหมือนบางคนที่ทำแล้วรับมันไม่ได้ ก็คุณทำ คุณถึงรับมันไม่ได้ แต่คนไม่ทำเขาก็รับได้ เพราะเขาไม่ได้ทำ เขามีความรู้สึก เค้าเปิดกว้าง แต่ถามว่า..ไม่ผิด คุณจะพิพากษาหนังให้มันเป็นยังไง ยังไงก็ไม่ผิด แต่ชอบส่วนตัว ไม่ชอบส่วนตัว อคติ หรือเกลียดอันนี้อยู่ที่คุณเลย ลองดูครับ ผมก็ต้องพูดคำเดียวว่า คุณต้องลอง บางอย่างถ้าคุณไม่ลองคุณจะไม่รู้"
กว่าหนังจะได้ฉายรอนานมาก ๆ ?

"มีคนเคยถามผมว่า "ถ้าหนังเรื่องนี้ไม่ได้ฉาย จะเสียใจมั้ย" ผมบอกไม่เสียใจ.. แต่ถ้าหนังเรื่องนี้ผมไม่ได้เล่น นั่นแหละผมจะเสียใจ แล้วมีคนเคยบอกผมอีกอย่างว่า หลังจากเล่นหนังเรื่องนี้เสร็จแล้วจะเล่นอะไรต่อ ผมก็บอก.. ก็นั่นสิ แล้วผมจะเล่นอะไร ผมยังหาไม่ได้เลยว่า ผมจะเล่นอะไรต่อ เพราะมันมาสุดมากสำหรับเรื่องนี้"

แล้วตอนนี้ยังต้องไปเชียงใหม่อีกไหม ?

"ธุรกิจที่เชียงใหม่ก็ยังมีอยู่ ผมทำร้านเครื่องประดับกับร้านเฟอร์นิเจอร์อยู่ 2 ร้าน ก็ต้องขึ้นไปดูบ้าง แต่ช่วงนี้ก็ฝากพ่อแม่บุญธรรมดูไปก่อน เพราะต้องให้เวลากับลูกมากๆ น้องสมใจเกิดปีเสือ เหมือนพ่อ กับแม่ เลย ผมกับยุ้ยก็เสือ ใครว่าเสือ 3 ตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ก็ต้องลองดูล่ะครับ แต่ยุ้ยเค้าบอกกับผมว่า ปีนี้ เวลาของเธอคงมาถึงแล้วล่ะ สมชาย"

เปิดกันไปเป็นที่เรียบร้อย ครั้งนี้ถือได้ว่า เปิดปากเปิดใจ ตั้งแต่หัวจรดเท้าของจริง!!!

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น